วันพักผ่อน (1st TIME IN AICHI EP.5)

Day5, Sabbath day, OSU canon

วันนี้ตื่นมาสายเล็กน้อยตอน 7 โมงเช้า มาสวัสดีตอนเช้าครอบครัว และรับประทานอาหารเช้าร่วมกันเป็น Breakfast เช่นเดิม หลังจากนั้นเราก็เตรียมเก็บของทั้งหมดใส่กระเป๋าสัมภาระเพื่อเตรียมตัวกลับโรงแรม แล้วก็มาเล่นกับเจ้าแมวในบ้านของโฮสต์แฟมิลี่    



น้องตัวนี้ชื่อน้องโอเมะ น้องชอบนอนหน้าเตาผิงมากๆ พออุ้มน้องมานอนตักก็วิ่งไปนอนหน้าเตาผิงเหมือนเดิม หน้าตาดูมีความสุขมากเวลาอยู่หน้าเตาผิง


น้องตัวนี้ชื่อมูกิ น้องอายุพึ่ง 3 เดือนเอง (ในใบแนะนำโฮสต์แฟมิลี่เขียนว่ามีแมวอยู่ 2 ตัว แล้วเจ้าน้องตัวนี้เป็นตัวที่ 3 ของบ้าน) น้องน่ารักมากๆ ขี้เล่น ชอบเล่นดาวกระจายที่เราพับกับยูกินะมากๆ


วันนี้น้องมาปลุกถึงเตียงเลย น่ารักกกกก
ส่วนอีกตัวนึงไม่ทราบชื่อ เพราะน้องขี้อายมาก ไม่ยอมออกมาให้เราเห็นเลย แต่คุณแม่บอกว่าเป็นแมวดั้งเดิมของบ้าน Shiragaki เลย ตัวสีดำ 
ครอบครัวโฮสต์แฟมิลี่ออกเดินทางไปที่โบสถ์ Shinshiro ตอนเวลา 9 โมงครึ่ง และถึงที่โบสถ์เวลาประมาณ 10 โมงและเข้าร่วมพิธีศีลมหาสนิทร่วมกัน มีทั้งการร้องเพลงร่วมกันและฟังข้อพระธรรมร่วมกัน ทำให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาคริสต์ในประเทศญี่ปุ่นรวมถึงเรื่องศาสนาอื่นๆด้วย
โดยทางโบสถ์จะมีตัว translator สำหรับชาวต่างชาติที่มาโบสถ์ โดยล่ามที่แปลน่าจะแอบอยู่ที่ไหนสักที่และแปลการบรรยายเหมือนสัญญาณวิทยุ ทำให้เราพอเข้าใจอยู่ แต่ว่ายูนะแนะนำให้ใช้แอปพลิเคชั่นนี้ในโทรศัพท์ของเรา โดยเพียงแค่เชื่อมต่อไวไฟของทางโบสถ์ที่ไม่มีอินเตอร์เน็ตก็สามารถทำการแปลได้เลย

ระยะเวลาในการร่วมพิธีประมาณ 2 ช่ั่วโมง เมื่อฟังเทศน์เสร็จก็จะได้รับขนมแคร็กเกอร์เล็กๆกับน้ำองุ่นเล็กๆ 



และก็รับประทานที่ห้องรับประทานอาหาร(ห้องเดียวกับที่จัดคอนเสิร์ตเมื่อวานนี้) โดยเป็นราเม็งสำเร็จรูปที่จำหน่ายในราคาถูก และมาร่วมรับประทานอาหารร่วมกันในห้องอาหาร เราได้พบกับเด็กๆมากมายในโบสถ์ รวมถึงมีพี่น้องคู่นึงที่เป็นชาวบราซิลแต่สัญชาติญี่ปุ่น และพูดแต่ภาษาญี่ปุ่นด้วย พูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย คุยได้แค่เล็กๆน้อยๆ 55555555555555 แถมตอนแรกมีการพูดภาษาญี่ปุ่นใส่ด้วย เพราะเข้าใจว่าเราเป็นคนญี่ปุ่น มีการบอกด้วยว่า เห้ย คนไทยหรอ ไม่เหมือนคนไทยเลย หน้าญี่ปุ่นมากๆ แน่ใจนะว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่น? เราก็ yes yes! I can't speak Japanese 5555555555555

คนนี้ชื่อไอมี่ เป็นคนบราซิลที่อยู่ในญี่ปุ่น มาขอถ่ายรูปด้วย เขินเลย น่ารักมากๆ

พอรับประทานราเม็งเสร็จก็เดินทางมุ่งสู่นาโงย่ากันโดยรถไฟ โดยยูนะนำไปส่งเรา โดยสถานีที่เราขึ้นมาคือสถานี Shinshiro ซึ่งเป็นสถานีที่คนขึ้นน้อยมากๆ จึงไม่มีช่องขายตั๋วและต้องไปซื้อตั๋วบนรถไฟ เมื่อเดินทางถึงสถานี Toyohashi (เป็นสถานีใหญ่ที่มาเที่ยวเมื่อวานนี้) เราก็ต้องเปลี่ยนรถไฟเพื่อต่อรถไฟที่จะไปเมืองนาโงย่า โดยต้องไปซื้อตั๋วใหม่ที่เคาเตอร์ แล้วก็นั่งรถไฟต่อเพื่อมุ่งสู่นาโงย่า 

ในระหว่างทางนั้น เพื่อนของยูนะ(ที่ชื่อยูนะเหมือนกัน) ก็ร่วมมาเที่ยวด้วยกันด้วย โดยเพื่อนของยูนะนั้นพึ่งสอบที่โรงเรียนเสร็จ และจะเดินทางไปเที่ยวด้วยกันที่ย่านชอปปิ้งโอสุนั่นเอง
เมื่อถึงที่หมายแล้วนั้น ยูนะก็ได้ทำการฝากสัมภาระทั้งหมดไว้ในล็อกเกอร์หยอดเหรียญภายในรถไฟ โดยในล็อกเกอร์สามารถบรรจุกระเป๋าเป้ได้ 2-3 ใบเลยทีเดียว แต่ใส่กระเป๋าเดินทางในล็อกเกอร์ไม่ได้นะ โดยราคาอยู่ที่ 400 เยน

ตั๋วเที่ยว 1 วันของนาโงย่า


ถึงโอสุแล้ววววววววว

มาถึงยูนะก็ชวนกินวาราบิโมจิหนึบๆที่โรยด้วยผงคินาโกะกับชาข้าวคั่วเป็นอันดับแรก คือโมจิมันหวานๆแปลกๆ แต่เมื่อเจอกับชาข้าวคั่วอุ่นๆขมๆเล็กน้อย ก็อร่อยดีนะ แต่กินเละเทะมากเลย เพราะผงคินาโกะกระจายเต็มโต๊ะเลย 
ต่อไปก็พาเดินเล่นทอดน่องในโอสุ 


ต่อไปยูนะก็พาเราไปกินโอเด้งกับทาโกยากิร้อนๆ ไส้ทาโกยากิเป็นไส้ปลาหมึก ทำแบบสดๆใหม่ๆ ร้อนมากๆ แต่ก็อร่อยมากๆเมื่อกินในท่ามกลางอากาศเย็นๆ

โอเด้ง

ทาโกยากิไส้ปลาหมึก

ต่อไปก็เดินดูรอบๆย่านโอสุ ที่นี่ร้านเสื้อผ้าเยอะมากๆ เต็มไปหมด(แต่โดยรวมราคาก็แพงอยู่ดีเพราะมีแต่เสื้อผ้าแบรนด์ 55555) และก็ไปที่ร้าน 300 เยน ที่ตัวร้านอยู่ชั้นสองของตึก ของกระจุกกระจิกเยอะมาก ไม่ว่าจะเคสใส่โทรศัพท์ กระเป๋าสะพาย เทปตกแต่งน่ารักๆ ของแปลกๆที่นี่ก็มีเยอะ 

อาหารจานหลักก็จะไปกินราเม็งที่ร้านราเม็งที่ฮิตที่สุดในโอสุ เป็นประมาณเหมือนราเม็งหม้อไฟ มีเครื่องเคียงเป็นเท็มปุระเปล่าๆ เครื่องเยอะมากๆ

 บริเวณทางเข้าร้าน


ต่อไปก็ไปกินอุด้งที่ร้าน Okinawa tradition restaurant ก็คือเป็นร้านรวมอาหารจากเมืองโอกินาว่านั่นเอง
โดยที่นี่เรามากินเมนูอุด้งโอกินาว่า 

 อุด้งชามยักษ์ ส่งตรงจากโอกินาว่า



การตกแต่งภายในร้าน เริ่มเป็นคริสต์มาสแล้ว

ที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ให้ความใส่ใจกับเทศกาลคริสต์มาสมากๆ เลย ช่วงนี้ (พฤศจิกายน) ตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าก็เริ่มตกแต่งประไฟคริสต์มาสกันแล้ว ไวกันมากๆ

ต่อไป ไปถ่ายแมววววกันนนนน


เห็นแมวไหม ข้างบนไง ~

เมื่อทานของคาวแล้ว ก็ต้องตบด้วยของหวานที่ร้านนี้ 

ที่ร้านนี้จะเป็นคาเฟ่ที่อาหารผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นกับตะวันตกนิดหน่อย แต่พอเข้าไปในร้านคือบรรยากาศญี่ปุ่นมากๆ มีกลิ่นไม้อ่อนๆด้วย

ด้านบนสุด เป็นมัชฉะลาเต้ใส่วิปครีม มีบลูเบอร์รี่ด้านบน ด้านล่างทางขวา คือไอศกรีมวานิลลาขนมปังและวุ้นชาเขียว ส่วนด้านซ้ายคือเยลลี่งาดำ

เราว่าเมนูที่อร่อยที่สุดคือ เยลลี่งาดำ มันหอมแล้วก็กลมกล่อมมากๆเลย
และอย่างที่เห็นคือ เมนูเยลลี่งาดำจะมีมิ้นท์วางอยู่ด้านบน ไเราไม่รู้เหมือนกันว่าคนญี่ปุ่นกินมิ้นท์มั้ย แต่พอกินมิ้นท์เข้าไปทั้งสองยูนะก็ร้อง เหหหหหหหหหหหหห เราก็งงว่า ทั้งคู่เข้าใจเราแย่งมิ้นท์ไปหรือตกใจว่า ไอ้ผักนั่นมันกินได้ด้วยหรอกันแน่

ต่อไปก็ไปถ่ายรูปพุริคุระอีกรอบที่ตึก amusement ในโอสุกับทั้งสองยูนะตอนเวลา 19:00 น. (รู้สึกว่าคนญี่ปุ่นคลั่งการถ่ายรูปพูริมากๆ) หลังจากนั้นก็ไปที่สถานีรถไฟเพื่อเอาการะเป๋าเดินทางออกจากล็อกเก็ตและเดินทางกลับที่โรงแรม Iris aichi กับยูนะ ส่วนยูนะ(ที่เป็นเพื่อนกับยูนะ) ก็แยกกลับบ้านก่อนที่สถานีรถไฟ 
เมื่อลงจากสถานีรถไฟ กลายเป็นว่าเรามาไม่ทันรถบัสที่ยวสุดท้ายกัน ยูนะจึงพาเราเดินไปส่งที่โรงแรมโดยสวัสดิภาพ และยูนะก็เดินทางกลับบ้านเองโดยถึงบ้านโดยสวัสดิภาพเช่นกันตอนเวลา 22:00 น.
ถ่ายรูปกับยูนะก่อนส่งยูนะกลับ


หลังจากที่เรากลับมาถึงโรงแรม เพื่อนๆก็นัดกันซ้อมการแสดงที่จะแสดงที่โรงเรียนในวันพรุ่งนี้ โดยการแสดงเป็นรำวงลอยกระทง เมื่อซ้อมเสร็จเพื่อนๆก็แยกย้ายไปพักผ่อนกัน










ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม